5 เทคนิคควรทำ ก่อนทำธุรกิจเครื่องสำอาง
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์พบว่าอุตสาหกรรมความงามของไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี โดยปัจจุบันธุรกิจนี้มีมูลค่าตลาดในประเทศถึง 2.8 แสนล้านบาท แบ่งเป็นจำหน่ายในประเทศ 60% หรือประมาณ 1.68 แสนล้านบาท และตลาดส่งออกที่ทำรายได้ให้ประเทศถึง 40% หรือกว่า 1.12 แสนล้านบาท ส่วนในเวทีโลกไทยครองอันดับที่ 17 ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกเครื่องสำอางรายสำคัญ โดยมูลค่า ของตลาดสินค้าความงามทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 9.3 ล้านล้านบาท
นั่นแสดงให้เห็นว่าตลาดความงามยังเป็นการลงทุนที่น่าสนใจแต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่ทำธุรกิจนี้แล้วจะมีกำไรได้เหมือนกัน เพราะตลาดเครื่องสำอางก็มีหลายปัจจัยที่ผู้ลงทุนต้องเรียนรู้ หากใครจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้ควรมีเรื่องที่ต้องรู้ต้องจำ 5 ประการด้วยกัน
1. มีเงินอย่างเดียวไม่พอต้องมีความรู้ด้วย
การเปิดร้านเครื่องสำอางโดยส่วนใหญ่จะเหมาะกับคุณผู้หญิงในการเป็นเจ้าของกิจการเนื่องด้วยความเป็นสตรีที่ต้องมีการแต่งหน้า และใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ร่างกาย อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นถ้าคิดจะเปิดร้านเครื่องสำอางเราต้องรู้ลึกรู้จริงในการใช้เครื่องสำอาง วิธีการใช้ เพื่อให้สามารถแนะนำลูกค้าหรือเลือกสินค้ามาจำหน่ายในร้านได้ ลำพังการมีเงินทุนเปิดร้านหรือการจัดร้านให้สวยดูดีแต่เจ้าของร้านไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แนะนำลูกค้าไม่ได้ โดยส่วนใหญ่ลูกค้ามักคาดหวังคำแนะนำที่ดี ซึ่งหากเราไม่มีส่วนนี้ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทำธุรกิจให้เติบโตได้
2. เรื่องจดทะเบียนเป็นสิ่งสำคัญ
เนื่องจากร้านเครื่องสำอางนั้นเกี่ยวข้องกับสุขภาพผิวและสุขภาพร่างกายของผู้ใช้สินค้า การเปิดร้านขายเครื่องสำอางจึงต้องมีการยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์ โดยให้ขอจดได้ที่เขต เทศบาล หรือ อบต.ในท้องที่ที่ร้านตั้งอยู่ โดยกรอกแบบฟอร์ม พร้อมแนบเอกสาร สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หลักฐานที่ตั้งร้าน และแผนที่ร้านโดยสังเขป
นอกจากนั้น ถ้ากิจการจำเป็นต้องขออนุญาต จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใด ๆ เช่น อย.ที่ต้องขอกรณี ผลิต ขาย นำเข้า สินค้าเครื่องสำอาง ก็จำเป็นต้องดำเนินเรื่องนี้ด้วย หรือหาก ซื้อแฟรนไซส์มาเพื่อขาย หรือผลิตเพื่อจำหน่าย ถ้าทำเป็นประจำ ก็เข้าข่ายต้องจดทะเบียนพาณิชย์ด้วยเช่นกัน
3. เกาะกระแสความงามให้ทันยุคสมัย
ร้านเครื่องสำอางที่จะไปรอดนั้นต้องมีการอัพเดทตัวเองตลอดเวลาเป็นคนที่ตามติดเทรนด์แฟชั่น เทรนด์การแต่งหน้า ต้องรู้ว่าตอนนี้เทรนด์ไหนกำลังฮิต เนื่องจากลูกค้าเองก็มีทั้งที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงแบบธรรมดา หรือบางคนก็ต้องการแต่งหน้าแบบแฟชั่น
ซึ่งในฐานะเจ้าของร้านก็ต้องมีความรู้ด้านนี้พร้อมแนะนำลูกค้าได้ว่าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบไหนอย่างไร แนะนำว่าหากเราไม่ได้เป็นคนขายเอง และมีการจ้างลูกน้องก็ควรคัดพนักงานที่มีความรู้อย่างดีมาเป็นพนักงานขาย เพราะถือเป็นการทำให้ลูกค้าประทับใจได้ด้วย
4.เปิดร้านแบบครบวงจร
เปิดร้านเครื่องสำอางก็ใช่ว่าจะต้องขายแต่เครื่องสำอางอย่างเดียว ยุคนี้ต้องครบวงจรสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกความต้องการเช่น มีบริการรับผลิตครีม โดยเราอาจจะมีพันธมิตรเป็นโรงงานผลิต หรือการรับจ้างแต่งหน้าในงานต่าง ๆ รวมถึงอาจจะมีการเปิดคอร์สสอนแต่งหน้า ยิ่งร้านเรามีลูกเล่นที่หลากหลายมีบริการที่หลากหลายก็จะยิ่งดันแบรนด์ให้ดูน่าสนใจและคนก็จะพูดถึงธุรกิจของเรามากขึ้น
5. รู้จักแหล่งผลิตที่ดีมีคุณภาพควบคุมราคาได้
การเปิดร้านเครื่องสำอางใช้เงินทุนเริ่มต้นพอสมควรหากเป็นร้านขนาดใหญ่อาจใช้เงินถึงหลักล้าน เริ่มตั้งแต่การจัดแต่งร้าน การวางระบบภายในร้าน และต้นทุนสำคัญคือผลิตภัณฑ์
ซึ่งผู้ลงทุนไม่อาจเลือกผลิตภัณฑ์แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งมาขายหากไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์นั้น ๆ ส่วนใหญ่สินค้าในร้านจึงต้องมีหลากหลายแบรนด์เป็นตัวเลือกให้ลูกค้าซึ่งราคาต้นทุนสินค้าแต่ละยี่ห้อก็ถือว่าสูง ยิ่งยี่ห้อดังและมีหลายยี่ห้อเราก็ยิ่งต้องใช้ทุนมาก ดังนั้นหากต้องการลดต้นทุนส่วนนี้เราต้องมีแหล่งผลิตที่เราควบคุมราคาได้และต้องมีคุณภาพ ซึ่งเราอาจใช้ระบบการขอเครดิตนำสินค้ามาขายก่อนแล้วค่อยจ่ายเงินภายหลัง นั้นก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกับผู้ผลิต ซึ่งผู้ผลิตบางรายหากตกลงกันดีๆ
สินค้าตัวไหนขายไม่ได้ก็อาจจะรับซื้อคืนแต่ในราคาที่ต่ำกว่าทุนเพราะถือว่าเป็นค่าเสื่อมสภาพ แต่สำหรับเจ้าของร้านแล้วก็ถือว่าดีกว่าไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย นับเป็นวิธีบริหารจัดการที่น่าสนใจซึ่งก็อยู่ที่ประสบการณ์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญด้วย
ทุกๆการทำธุรกิจไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องง่ายแม้สินค้าจะเป็นที่ต้องการของตลาดแต่คู่แข่งก็ย่อมมีมากตามไปด้วย ผู้ลงทุนต้องคิดเสมอว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้สินค้าและบริการจากร้านเรานั้นคือกลยุทธ์การตลาดที่เราต้องช่วงชิง คนที่จะประสบความสำเร็จได้จึงไม่ใช่แค่คนที่มีเงินแต่ต้องมีฝีมือในการทำตลาดด้วย